Notice: Function _load_textdomain_just_in_time was called incorrectly. Translation loading for the show-modified-date-in-admin-lists domain was triggered too early. This is usually an indicator for some code in the plugin or theme running too early. Translations should be loaded at the init action or later. Please see Debugging in WordPress for more information. (This message was added in version 6.7.0.) in /home/teddyharrycom/public_html/wp-includes/functions.php on line 6121
อำนาจนิยม (Authoritarianism) – Harry Kaewmong
Skip to content

อำนาจนิยม (Authoritarianism)


“อำนาจนิยม” เป็นประหนึ่งศัพท์แสงที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เราสามารถพบคำ ๆ นี้ได้ตามหนังสือพิมพ์ การปราศรัยในการชุมนุม หรือแม้กระทั่งการอภิปรายญัตติต่าง ๆ ในรัฐสภา และคำว่า “อำนาจนิยม” ก็เป็นคำที่ทรงพลังเสมอมา วันนี้ นักเรียนเลวขอพาทุกคนย้อนกลับไปในห้วงประวัติศาสตร์เพื่อทำความเข้าใจและรู้เท่าทันอำนาจนิยมไปด้วยกัน

“อำนาจนิยม” เป็นศัพท์บัญญัติจากคำว่า “Authoritarianism” สารานุกรมบริแทนนิกาได้ให้ความหมายของคำว่า “Authoritarianism” ไว้ว่า “การยอมรับอำนาจอย่างถึงที่สุด และการกดขี่เสรีภาพทางความคิดและการกระทำของปัจเจกบุคคล (the blind submission to authority and the repression of individual freedom of thought and action)”

แนวคิดอำนาจนิยมเป็นแนวคิดที่มีมาอย่างยาวนาน แต่หนึ่งในช่วงเวลาที่แนวคิดนี้ปรากฏเด่นชัดที่สุดคือช่วงกลางศตวรรษที่ 20 หรือช่วงยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านลิทธิฟาสซิสต์ ลิทธินี้เป็นแนวคิดที่เชื่อในความเป็นระเบียบของสังคมด้วยการนำของผู้นำที่เข้มแข็งและสามารถนำประเทศไปสู่ความเจริญได้ ถือเป็นรูปแบบของระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จรูปแบบหนึ่ง และแนวคิดนี้ก็ได้แพร่กระจายไปทั่วโลกผ่านการทำสงครามของฝ่ายฝ่ายอักษะในยุโรป ได้แก่ อิตาลี นำโดยเบนิโต มุสโสลินี และนาซีเยอรมัน นำโดยอดอล์ฟ ฮิตเลอร์

แนวคิดแบบนี้มีมานานแล้ว แต่ในบริบทของโลกปัจจุบัน ก็คงไม่มียุคใดที่ส่งผลต่อแนวคิดนี้เท่าช่วงกลางคริสตศตวรรษที่ 20 อีกแล้ว แนวคิดฟาสซิสต์ ซึ่งให้ความสำคัญกับการอุทิศชีวิตเพื่อประเทศชาติ แพร่กระจายไปทั่วทวีปยุโรป พวกเสื้อดำของมุโสลินีครองเมือง พรรคนาซีปกครองเยอรมนีด้วยกำปั้นเหล็ก (iron fist) ซึ่งแนวคิดฟาสซิสต์นี้ก็ส่งอิทธิพลมาถึงไทยด้วย โดยเฉพาะในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม แต่หลังเขาหมดอำนาจไปแนวคิดนี้ก็ไม่เคยหาย รัฐบาลเผด็จการที่ตามมาก็ยังคงยึดหลักการอำนาจนิยมสืบเป็นทอด ๆ

ตั้งแต่สมัยรัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็ไม่ได้ต่อต้านแนวคิดฟาสซิสต์เสียทีเดียว ซ้ำยังดูเปิดรับ (open to the idea) อีก แต่โชคดีที่การปฏิวัติ 2475 เข้ามาหยุดยั้งความคิดเรื่องฟาสซิสต์ไปชั่วคราว แต่แนวคิดนี้ก็หาได้ตายไปในไทย รัฐบาลของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็ออกแบบการปกครองโดยเลียนแบบอิตาลีภายใต้มุโสลินี

รัฐบาลของจอมพล ป. ใช้คำอธิบายแบบเสรีประชาธิปไตยมาปกครองในลักษณะค่อนไปทางฟาสซิสต์ นโยบายหลาย ๆ อย่างก็ออกแนวอำนาจนิยม อย่างรัฐนิยมที่บังคับให้คนไทยแต่งกายแบบสากลนิยม การบังคับกิจวัฏประจำวันคน หลายอย่างก็ออกแนวฟาสซิสต์ต่อต้าน “ชาวต่างชาติ” ไปเลย เช่น การสงวนอาชีพให้กับคนไทย เป็นต้น

แต่หลังเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ รัฐบาลเผด็จการก็เริ่มฝังอำนาจนิยมเพิ่มเข้าไปในการศึกษามากขึ้นกว่าเผด็จการสมัยก่อน ๆ เพื่อทำลายอำนาจของนักเรียนนักศึกษา ทำให้ในสังคมไทยนั้นเต็มไปด้วยแนวคิดอำนาจนิยม ตั้งแต่ต้องเชื่อฟังครูโดยไม่หืออือ ต้องยอมรับการเฆี่ยนตีโดยผู้ปกครองโดยไม่หืออือ หรือต้องยอมรับการริดรอนสิทธิโดยรัฐบาล

ทั้งหมดนี้สร้างสังคมที่คนโดยมากสยบยอมต่ออำนาจ เห็นได้จากแนวคิดเรื่องอยู่เป็น คนไทยโดยมากยอม “อยู่เป็น” เลือกที่จะไม่หือไม่อือ พ่อแม่มักสอนลูกว่าอย่ามาทำกิจกรรมทางการเมือง ให้ลูก “อยู่เป็น” คนไทยมีความเข้าใจในปัญหาทางสังคม ว่าสังคมบิดเบี้ยว สังคมไม่ได้มีเสรีภาพที่แท้จริง แต่กลับเลือกที่จะ “อยู่เป็น” อยู่เฉย ๆ ทำมาหากินเลี้ยงชีพไปวัน ๆ สังคมจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็เพียงวิพากษ์วิจารณ์ไปเท่านั้น

อำนาจนิยมในสถานศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการใช้ความรุนแรง การสั่งสอนให้ไม่หืออือกับครู ถูกสอนว่าครูถูกต้องเสมอ การบังคับทรงผมการแต่งกาย ฯลฯ ทั้งหมดนี้ก่อร่างสภาพแวดล้อมที่นักเรียนไม่รู้สึกปลอดภัย เป็นสภาวะที่ถูกกดขี่ ทำให้นักเรียนไม่กล้าแสดงออก อย่าว่าแต่การลุกขึ้นมาแสดงออกทางการเมืองเลย สภาพแวดล้อมในโรงเรียนไม่เอื้อต่อการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตัวนักเรียนเองด้วยซ้ำ

สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและไร้ความหวังสำหรับความเปลี่ยนแปลงนั้นย่อมส่งผลต่อตัวนักเรียนแน่นอน บรรยากาศแบบนั้นยิ่งส่งเสริมค่านิยม “อยู่เป็น” ในเมื่อตั้งแต่เด็ก คนเราก็มาพบความจริงว่าการแสดงออกนำไปสู่การลงโทษและความเปลี่ยนแปลงถูกระงับยับยั้งด้วยโครงสร้างอำนาจนิยมที่ไม่ยอมเปลี่ยน คนเราจะสู้เพื่อความเปลี่ยนแปลงไปทำไม

สังคมแบบนี้ไม่ใช่สังคมที่ดีต่อเด็ก สังคมแบบนี้คือสังคมที่ปล่อยให้อาชญากรลอยนวลพ้นผิด ตั้งแต่ครูล่วงละเมิดทางเพศเด็กไปจนถึงทหารที่ทำรัฐประหาร สังคมแบบนี้สร้างบาดแผลให้เด็กเป็นหมื่นเป็นแสน โดยที่โดยมากเด็กเหล่านั้นไม่ได้การชดเชยอะไรเลย และพฤติกรรมที่สร้างบาดแผลดังกล่าวก็ได้รับอนุญาตให้ดำเนินต่อไป หากย้อนกลับไปดูกรณีตัวอย่างจากนิทรรศการ ครูคือใคร ที่นักเรียนเลวเคยจัดในช่วงวันครูเมื่อต้นปีจะพบว่าอำนาจนิยมฝังรากลึกเสียจนการทำผิดมหรรต์กลับได้รับโทษกระจิดริด ไม่ได้สัดส่วนกับความผิด และโดยมากครูก็ยังคงได้สอนต่อไป ได้มีโอกาสสร้างบาดแผลต่อไป

สังคมไทยไม่ควรดำเนินต่อไปแบบนี้ สังคมไทยต้องรื้อระบอบอำนาจนิยม